เครื่องปรับอากาศเป็นอุปกรณ์สำคัญในบ้านที่ช่วยให้เราสบายขึ้นในช่วงอากาศร้อน แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าแอร์มีอายุการใช้งาน และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ควรเปลี่ยนใหม่เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และช่วยลดค่าไฟ หากใช้งานแอร์เก่าเกินไป อาจพบปัญหาแอร์ไม่เย็น มีกลิ่นอับ เสียงดัง หรือแม้แต่ค่าไฟพุ่งสูงขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วแอร์บ้านควรเปลี่ยนใหม่เมื่อไหร่? มาดูสัญญาณเตือนที่บอกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแอร์เครื่องใหม่กัน!
แอร์ของคุณอยู่ได้นานแค่ไหน? ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน
โดยทั่วไป อายุการใช้งานของแอร์บ้าน อยู่ที่ประมาณ 10-15 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
- คุณภาพของแอร์ แบรนด์และรุ่นของแอร์มีผลต่ออายุการใช้งาน แอร์คุณภาพสูงจะใช้งานได้นานกว่าแอร์ราคาถูก
- ความถี่ในการใช้งาน หากเปิดแอร์ทุกวันตลอดทั้งปี อายุการใช้งานอาจสั้นลงเมื่อเทียบกับแอร์ที่เปิดใช้งานเพียงบางช่วง
- การดูแลรักษาแอร์ การล้างแอร์และเปลี่ยนอะไหล่อย่างสม่ำเสมอช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและใช้งานได้นานขึ้น
- สภาพแวดล้อมการใช้งาน แอร์ที่ใช้งานในพื้นที่ฝุ่นเยอะหรือมีความชื้นสูง อาจเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
สังเกต 6 อาการเหล่านี้ แอร์ของคุณอาจกำลังป่วย
หากพบอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณว่า ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแอร์ใหม่
-
แอร์ไม่เย็นเหมือนเดิม
- แม้จะตั้งอุณหภูมิต่ำแล้ว แต่แอร์ยังเย็นไม่เท่าที่เคย
- ตรวจสอบน้ำยาแอร์ก่อน หากเติมแล้วไม่ดีขึ้น อาจถึงเวลาต้องเปลี่ยนใหม่
-
ค่าไฟพุ่งสูงผิดปกติ
- แอร์เก่ามักใช้พลังงานมากขึ้น ทำให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
- แอร์อินเวอร์เตอร์รุ่นใหม่สามารถช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้นถึง 30-50%
-
แอร์ส่งกลิ่นอับหรือเหม็นไหม้
- อาจเกิดจากเชื้อราและฝุ่นสะสมภายในแอร์
- หากมีกลิ่นไหม้อาจเป็นปัญหาที่ระบบไฟฟ้า ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้
-
แอร์มีน้ำหยดหรือรั่ว
- ท่อน้ำทิ้งตันสามารถแก้ไขได้ง่าย แต่ถ้าพบว่าน้ำรั่วจากตัวเครื่องอาจหมายถึงปัญหาคอยล์เย็นเสีย
- คอยล์เย็นรั่วเป็นปัญหาที่ซ่อมได้ยาก และอาจต้องเปลี่ยนใหม่
-
แอร์มีเสียงดังผิดปกติ
- หากมีเสียง ก๊อกแก๊ก, หึ่งดังผิดปกติ, หรือเสียงลมที่ไม่สม่ำเสมอ อาจเป็นสัญญาณว่าคอมเพรสเซอร์หรือพัดลมเริ่มเสื่อม
- การเปลี่ยนอะไหล่บางครั้งอาจแพงกว่าซื้อแอร์ใหม่
-
ต้องซ่อมแอร์บ่อย ๆ
- หากต้องเรียกช่างมาซ่อมแอร์ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ อาจไม่คุ้มค่า และควรเปลี่ยนแอร์ใหม่
ซ่อมแอร์หรือเปลี่ยนแอร์ใหม่ แบบไหนคุ้มกว่ากัน?
การพิจารณาว่าควรซ่อมหรือเปลี่ยนแอร์ใหม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้
1. อายุการใช้งาน
- แอร์อายุ ต่ำกว่า 7 ปี แนะนำให้ซ่อม
- แอร์อายุ เกิน 10 ปี เปลี่ยนใหม่คุ้มค่ากว่า เพราะแอร์เริ่มเสื่อมสภาพและกินไฟมากขึ้น
2. ค่าใช้จ่ายในการซ่อม
- หากค่าซ่อม เกิน 50% ของราคาแอร์ใหม่ ควรเปลี่ยนใหม่
- หากเป็นการเปลี่ยนอะไหล่เล็กน้อย เช่น น้ำยาแอร์, แผ่นกรองอากาศ ซ่อมได้
3. ความคุ้มค่าในการประหยัดพลังงาน
- แอร์รุ่นเก่า ใช้พลังงานมากกว่าแอร์ อินเวอร์เตอร์รุ่นใหม่ อย่างน้อย 30%
- หากเปลี่ยนมาใช้แอร์ประหยัดไฟ จะช่วยลดค่าไฟได้ในระยะยาว
อาการเสียของแอร์
ซ่อมได้: แอร์มีน้ำหยดเล็กน้อย, แผ่นกรองอากาศสกปรก, น้ำยาแอร์ขาด
ควรเปลี่ยนใหม่: คอมเพรสเซอร์เสีย, คอยล์เย็นรั่ว, ระบบไฟฟ้าแอร์เสีย
เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างซ่อมกับเปลี่ยนใหม่
อาการแอร์เสีย | ค่าซ่อมโดยประมาณ | ควรซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่? |
เติมน้ำยาแอร์ | 1,000 – 3,000 บาท | ซ่อมได้ |
ล้างแอร์ใหญ่ | 500 – 1,500 บาท | ซ่อมได้ |
เปลี่ยนแผงคอยล์เย็น | 5,000 – 12,000 บาท | ถ้าแอร์เก่ากว่า 10 ปีควรเปลี่ยน |
เปลี่ยนคอมเพรสเซอร์ | 8,000 – 20,000 บาท | เปลี่ยนแอร์ใหม่คุ้มกว่า |
ระบบไฟฟ้าแอร์เสีย | 3,000 – 8,000 บาท | ควรเปลี่ยนใหม่ถ้าแอร์เก่ากว่า 10 ปี |
แอร์บ้านโดยทั่วไปมีอายุการใช้งาน ประมาณ 10-15 ปี แต่หากพบอาการ แอร์ไม่เย็น, ค่าไฟเพิ่มขึ้น, แอร์เสียงดัง, น้ำรั่ว หรือซ่อมบ่อยเกินไป อาจเป็นสัญญาณว่าควรเปลี่ยนแอร์ใหม่ แทนที่จะซ่อมซ้ำแล้วซ้ำอีก หากค่าซ่อมสูงกว่า 50% ของราคาแอร์ใหม่ การซื้อแอร์ใหม่จะช่วยให้คุ้มค่ากว่า และยังช่วย ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น
แหล่งที่มา:
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย – วิธีเลือกแอร์ให้ประหยัดไฟ
- การดูแลแอร์บ้านจาก Daikin
- เปรียบเทียบค่าซ่อมแอร์
- ข้อควรรู้เกี่ยวกับแอร์บ้าน