การล้างแอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยยืดอายุการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องปรับอากาศ แต่เมื่อถึงเวลาต้องทำความสะอาดแอร์ หลายคนอาจสงสัยว่าจะล้างเองหรือจ้างช่างมาทำให้ดี? ทั้งสองตัวเลือกนี้มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป การล้างแอร์เองอาจประหยัดค่าใช้จ่ายแต่ต้องใช้เวลาและทักษะที่เหมาะสม ขณะที่การจ้างช่างแอร์อาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นแต่ได้งานที่มีคุณภาพและลดความเสี่ยงในการทำผิดพลาด ในบทความนี้ เราจะมาเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและเหมาะสมที่สุด
ล้างแอร์เองประหยัดจริงหรือ? เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียที่คุณไม่ควรมองข้าม
การล้างแอร์ด้วยตัวเองเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากหลายคนต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ก็มีข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ
ข้อดีของการล้างแอร์เอง
- ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียค่าจ้างช่างล้างแอร์ ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ 500-1,500 บาท
- ทำได้ตามเวลาสะดวก สามารถล้างแอร์ได้เองเมื่อสะดวก ไม่ต้องรอคิวช่าง
- ลดความเสี่ยงจากช่างที่ไม่มีประสบการณ์ หากเลือกช่างไม่ดี อาจทำให้แอร์เสียหายได้
- เพิ่มความรู้และทักษะในการดูแลรักษาแอร์ สามารถตรวจสอบสภาพแอร์ได้ด้วยตัวเอง
ข้อเสียของการล้างแอร์เอง
- อาจล้างได้ไม่สะอาดเท่าช่างมืออาชีพ การล้างแอร์ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ เช่น ปั๊มน้ำแรงดันสูง
- เสี่ยงต่อความเสียหายของแอร์ หากล้างผิดวิธี อาจทำให้แอร์รั่วหรือน้ำท่วมเครื่อง
- ต้องใช้เวลาและแรงงาน การล้างแอร์ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อเครื่อง
- ไม่สามารถล้างคอยล์เย็น-คอยล์ร้อนลึก ๆ ได้ ช่างมืออาชีพสามารถถอดล้างคอยล์แอร์ให้สะอาดกว่า
การจ้างช่างล้างแอร์มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
ค่าบริการล้างแอร์ขึ้นอยู่กับประเภทของแอร์และขนาด BTU โดยทั่วไปมีราคาดังนี้
ประเภทแอร์ | ค่าล้างแอร์ (บาท/ครั้ง) |
แอร์ติดผนัง (9,000 – 18,000 BTU) | 500 – 800 บาท |
แอร์ติดผนัง (18,000 – 24,000 BTU) | 800 – 1,200 บาท |
แอร์ตั้งพื้น / แขวนเพดาน | 1,000 – 1,500 บาท |
แอร์ฝังฝ้า | 1,500 – 2,500 บาท |
แอร์แบบตู้ตั้งพื้นขนาดใหญ่ | 2,500 – 4,000 บาท |
ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจมี
- ค่าบริการล้างคอยล์ร้อนเพิ่มเติม 300-500 บาท
- เติมน้ำยาแอร์ 300-1,000 บาท (ขึ้นอยู่กับประเภทน้ำยา R22, R32, R410A)
- ค่าตรวจเช็คระบบไฟฟ้า 200-500 บาท
ข้อดีของการจ้างช่างล้างแอร์
- ล้างได้สะอาดกว่า ช่างมีเครื่องมือและอุปกรณ์เฉพาะที่ช่วยล้างแอร์ได้ลึกถึงคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน
- ลดความเสี่ยงจากการทำแอร์เสียหาย ช่างที่มีประสบการณ์สามารถดูแลแอร์ได้อย่างถูกต้อง
- สามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาแอร์ได้ทันที เช่น น้ำยาแอร์รั่ว, พัดลมไม่หมุน, แอร์มีน้ำหยด
- ประหยัดเวลา ใช้เวลาเพียง 30-60 นาทีต่อเครื่อง
ข้อเสียของการจ้างช่างล้างแอร์
- มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ราคาสูงกว่าการล้างเอง
- ต้องนัดหมายล่วงหน้า โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน ช่างมักมีคิวยาว
- เสี่ยงเจอช่างไม่มีคุณภาพ หากเลือกช่างไม่ดี อาจล้างไม่สะอาดหรือก่อปัญหากับแอร์ได้
เทคนิคการล้างแอร์ให้สะอาดและปลอดภัย
หากต้องการ ล้างแอร์เอง ควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อความปลอดภัยและให้แอร์สะอาดที่สุด
อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการล้างแอร์
- ไขควง
- ผ้าเช็ดทำความสะอาด
- แปรงขนอ่อน
- เครื่องดูดฝุ่น
- น้ำเปล่าหรือน้ำสบู่อ่อน ๆ
ขั้นตอนการล้างแอร์ด้วยตัวเอง
- ปิดเบรกเกอร์ไฟของแอร์ เพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อต
- ถอดแผ่นกรองอากาศออกมา แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด
- ใช้แปรงขนอ่อนปัดฝุ่นที่คอยล์เย็น เพื่อป้องกันฝุ่นสะสม
- ใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดคอยล์ร้อน ด้านนอก
- เช็ดตัวเครื่องภายนอกให้สะอาด ด้วยผ้าหมาด ๆ
- ปล่อยให้แผ่นกรองอากาศแห้งสนิท ก่อนนำกลับไปติดตั้ง
- เปิดแอร์ทดสอบ และสังเกตว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่
ล้างแอร์เอง หรือจ้างช่างแอร์ แบบไหนดีกว่ากัน?
ปัจจัย | ล้างแอร์เอง | จ้างช่างล้างแอร์ |
ค่าใช้จ่าย | ประหยัด ไม่มีค่าจ้าง | มีค่าใช้จ่าย 500-1,500 บาท |
ความสะอาด | ทำความสะอาดเบื้องต้นได้ | ล้างได้ลึกกว่า คอยล์เย็น-คอยล์ร้อนสะอาดขึ้น |
ความปลอดภัย | มีความเสี่ยงถ้าทำผิดวิธี | ปลอดภัยกว่า โดยช่างมืออาชีพ |
เวลาที่ใช้ | ใช้เวลานานกว่า (1-2 ชม.) | เสร็จเร็วกว่า (30-60 นาที) |
โอกาสเสียหาย | มีโอกาสทำให้แอร์เสียหายได้ | ลดความเสี่ยงจากการล้างผิดวิธี |
แนะนำ:
- หากเป็นการทำความสะอาด แผ่นกรองอากาศ หรือเช็ดฝุ่นทั่วไป สามารถล้างเองได้
- หากต้องล้างลึกถึง คอยล์เย็น-คอยล์ร้อน แนะนำให้ จ้างช่างล้างแอร์ เพื่อความสะอาดและปลอดภัย
- ควรล้างแอร์ทุก 3-6 เดือน เพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
แหล่งที่มา:
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย – วิธีดูแลแอร์ให้ประหยัดพลังงาน
- คู่มือการล้างแอร์จาก Daikin
- เทคนิคการล้างแอร์ที่ถูกต้อง
- เช็คราคาค่าล้างแอร์