เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศร้อนจัดจนต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศแทบตลอดเวลา แต่หลายคนกลับต้องวิตกกังวลกับค่าไฟที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว! การเข้าใจวิธีคำนวณค่าไฟแอร์บ้านและการเลือกใช้แอร์อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ในบทความนี้เราจะพาคุณไปเรียนรู้ วิธีคำนวณค่าไฟของแอร์บ้าน และ เทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยลดค่าไฟในฤดูร้อน ตั้งแต่การตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสม ไปจนถึงการเลือกแอร์ที่ประหยัดพลังงาน จะช่วยให้คุณเย็นสบายในหน้าร้อนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องบิลค่าไฟที่สูงเกินไป!
คำนวณค่าไฟแอร์แบบง่าย! วิธีคำนวณที่ทุกคนทำได้ ไม่ต้องเป็นช่างก็รู้
หากต้องการรู้ว่าแอร์บ้านของคุณใช้ไฟมากแค่ไหน สามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ด้วยสูตรต่อไปนี้
สูตรคำนวณค่าไฟแอร์ และตัวอย่างการคำนวณค่าไฟ
- หากคุณใช้แอร์ ขนาด 12,000 BTU, มีค่า EER 12, เปิดใช้งานวันละ 8 ชั่วโมง, และค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่ 4 บาทต่อหน่วย
- หากแอร์ของคุณมี ค่า EER สูงกว่า หรือเป็น ระบบอินเวอร์เตอร์ จะช่วยลดการใช้พลังงานลงได้
แอร์กินไฟ เกิดจากสาเหตุอะไร
แม้ว่าแอร์จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานมากที่สุดในบ้าน แต่หากเราทราบปัจจัยที่ทำให้แอร์กินไฟ เราก็สามารถลดค่าไฟได้มากขึ้น ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการใช้พลังงานของแอร์ ได้แก่
1. ขนาด BTU ไม่เหมาะสมกับห้อง
- BTU ต่ำเกินไป: แอร์จะทำงานหนักเพื่อทำให้ห้องเย็น
- BTU สูงเกินไป: แอร์จะเปิด-ปิดบ่อย ทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักขึ้น
- ควรเลือกขนาด BTU ให้เหมาะกับขนาดห้อง เช่น ห้องขนาด 20 ตร.ม. ควรใช้แอร์ 12,000-15,000 BTU
2. ตั้งอุณหภูมิแอร์ต่ำเกินไป
- การตั้งแอร์ที่ ต่ำกว่า 23 องศาเซลเซียส จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักขึ้นและใช้พลังงานมาก
- ควรตั้งอุณหภูมิที่ 25-27 องศาเซลเซียส เพื่อประหยัดพลังงาน
3. ไม่ล้างแอร์เป็นประจำ
- ฝุ่นที่สะสมในแผ่นกรองอากาศทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้นและใช้ไฟมากขึ้น
- ควรล้างแผ่นกรองทุก 2 สัปดาห์ และล้างแอร์ใหญ่ทุก 6 เดือน
4. เปิด-ปิดแอร์บ่อยเกินไป
- การเปิด-ปิดแอร์ถี่ ๆ ทำให้คอมเพรสเซอร์ต้องเริ่มทำงานใหม่ซึ่งใช้พลังงานมากขึ้น
- หากต้องออกจากห้องชั่วคราว ควรใช้โหมด Sleep หรือ Eco Mode แทน
5. เปิดแอร์พร้อมอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ
- อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ปล่อยความร้อน เช่น ทีวี, คอมพิวเตอร์, หลอดไฟ ให้ความร้อนเพิ่มขึ้นทำให้แอร์ทำงานหนัก
- ควรปิดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นเมื่อเปิดแอร์
8 วิธีลดค่าไฟแอร์ที่ได้ผลจริง เปิดแอร์ไม่ต้องกลัวค่าไฟพุ่ง!
หน้าร้อนนี้คุณไม่ต้องกังวลกับค่าไฟที่พุ่งสูงขณะเปิดแอร์ตลอดวัน! การใช้แอร์อย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้โดยไม่กระทบความเย็นสบายในบ้าน บทความนี้จะมาแนะนำ 8 วิธีลดค่าไฟแอร์ ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และจะช่วยให้คุณเปิดแอร์ได้โดยไม่ต้องกลัวค่าไฟสูง
-
ตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสม
- 25-27 องศาเซลเซียส เป็นอุณหภูมิที่เย็นสบายและช่วยประหยัดพลังงาน
- ใช้ โหมดประหยัดพลังงาน (Eco Mode) หรือ โหมด Sleep ช่วยลดภาระของคอมเพรสเซอร์
-
ใช้พัดลมร่วมกับแอร์
- พัดลมช่วยกระจายความเย็นทั่วห้อง ทำให้ไม่ต้องลดอุณหภูมิแอร์มากเกินไป
- ลดภาระของคอมเพรสเซอร์และช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้น
-
ปิดแอร์ก่อนออกจากห้อง 15-30 นาที
- เปิดพัดลมช่วยไล่ความร้อนแทนแอร์เมื่อใกล้จะออกจากห้อง
- ลดการใช้พลังงานโดยไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด
-
ใช้ม่านกันแสงหรือฟิล์มกรองแสง
- ลดความร้อนจากภายนอก ช่วยให้แอร์ทำงานน้อยลง
- ใช้ ม่านกัน UV หรือฟิล์มกันความร้อน เพื่อช่วยลดอุณหภูมิห้อง
-
ล้างแอร์เป็นประจำ
- ล้างแผ่นกรองอากาศทุก 2 สัปดาห์ และล้างแอร์ใหญ่ทุก 6 เดือน
- แอร์ที่สะอาดช่วยให้การไหลเวียนของอากาศดีขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง
-
ปิดประตูและหน้าต่างให้สนิท
- ลดการรั่วไหลของอากาศเย็น ป้องกันแอร์ทำงานหนักเกินไป
- ใช้ ซีลกันลม หรือ ยางกันลม ตามขอบประตู-หน้าต่าง
-
เลือกแอร์ที่มีระบบ Inverter
- แอร์อินเวอร์เตอร์ (Inverter Air Conditioner) สามารถประหยัดพลังงานได้ 30-50%
- แม้ราคาสูงกว่าแอร์ทั่วไป แต่ช่วยลดค่าไฟในระยะยาว
-
ตรวจสอบระดับน้ำยาแอร์
- หากแอร์ไม่เย็น ควรเรียกช่างตรวจสอบน้ำยาแอร์
- น้ำยาแอร์ที่ขาดอาจทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักและใช้ไฟมากขึ้น
การคำนวณ ค่าไฟแอร์บ้าน เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราสามารถควบคุมการใช้พลังงานได้ดีขึ้น ปัจจัยที่ทำให้แอร์กินไฟมักเกี่ยวข้องกับ ขนาด BTU, อุณหภูมิที่ตั้ง, การดูแลรักษาแอร์ และพฤติกรรมการใช้งาน หากต้องการ ลดค่าไฟแอร์ ควรปรับพฤติกรรมการใช้งานให้เหมาะสม เช่น ตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสม, ล้างแอร์เป็นประจำ, ใช้ม่านกันแดด และเลือกแอร์อินเวอร์เตอร์ วิธีเหล่านี้จะช่วยให้คุณใช้งานแอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเสียค่าไฟสูงเกินไป
แหล่งที่มา:
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย – วิธีคำนวณค่าไฟ
- คู่มือเลือกแอร์ประหยัดพลังงานจาก Daikin
- วิธีลดค่าไฟแอร์ที่ได้ผล
- เคล็ดลับดูแลแอร์จาก Mitsubishi Electric