You are currently viewing ป้องกันอันตรายจากแอร์โรงงาน มาตรฐานความปลอดภัยที่คุณต้องรู้

ป้องกันอันตรายจากแอร์โรงงาน มาตรฐานความปลอดภัยที่คุณต้องรู้

ในโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องปรับอากาศ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอุณหภูมิและคุณภาพอากาศ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการทำงานของพนักงานและกระบวนการผลิต อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของแอร์โรงงาน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือการติดตั้งที่ไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร ระบบระบายอากาศผิดพลาด หรือปัญหาสารทำความเย็นรั่วไหล มาตรฐานความปลอดภัยของแอร์โรงงาน ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งานเครื่องปรับอากาศในภาคอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น มาตรฐานด้านไฟฟ้า การติดตั้ง ระบบระบายอากาศ และการบำรุงรักษา บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ มาตรฐานความปลอดภัยของแอร์โรงงานที่สำคัญ ข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติตาม และแนวทางการเลือกแอร์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศในโรงงานของคุณ

มาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับแอร์โรงงาน

ในโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องปรับอากาศ (แอร์โรงงาน) ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิ แต่ยังมีผลโดยตรงต่อ คุณภาพอากาศ ความปลอดภัยของพนักงาน และประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต หากไม่มีมาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสม อาจเกิดปัญหา เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร การรั่วไหลของสารทำความเย็น หรือระบบระบายอากาศที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งคนและเครื่องจักร

1. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)

ในประเทศไทย การใช้ แอร์โรงงาน ควรเป็นไปตามมาตรฐานของ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) หรือที่รู้จักกันในชื่อ มอก.2134-2553 ซึ่งครอบคลุมเรื่อง ประสิทธิภาพพลังงาน, ความปลอดภัยของสารทำความเย็น และการออกแบบที่ปลอดภัย

2. มาตรฐานความปลอดภัยของสารทำความเย็น (Refrigerant Safety Standards)

สารทำความเย็นที่ใช้ในแอร์โรงงานต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น ASHRAE 34 และ ISO 817 ซึ่งระบุถึงความปลอดภัยของสารทำความเย็น เช่น R-32 และ R-410A ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าสารรุ่นเก่า

3. มาตรฐานการติดตั้งและระบบไฟฟ้า

  • การติดตั้งต้องเป็นไปตามมาตรฐาน NEC (National Electrical Code) และ IEC (International Electrotechnical Commission)
  • ระบบไฟฟ้าควรมีสายดินและอุปกรณ์ตัดกระแสไฟอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและการเกิดเพลิงไหม้

4. มาตรฐานอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality – IAQ)

  • ค่าความชื้นสัมพัทธ์ควรอยู่ระหว่าง 40-60%
  • ค่าฝุ่นละอองและสารระเหยในอากาศต้องไม่เกินค่าที่กำหนดในมาตรฐาน ASHRAE 62.1

การตรวจสอบและบำรุงรักษาแอร์โรงงานเพื่อความปลอดภัย

การตรวจสอบและการดูแลรักษาแอร์โรงงานอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญในการ ลดความเสี่ยงอันตราย และ เพิ่มประสิทธิภาพ ของเครื่องปรับอากาศ ในบทความนี้ เราจะพูดถึง ขั้นตอนการตรวจสอบและบำรุงรักษาแอร์โรงงาน ที่ควรปฏิบัติอย่างถูกต้อง เพื่อให้แน่ใจว่าแอร์ทำงานได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์

1. ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและการเดินสาย

ควรตรวจเช็ก สายไฟ, เบรกเกอร์, คอนแทคเตอร์ และอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ทุก 6 เดือน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากไฟฟ้าลัดวงจร

2. ทำความสะอาดฟิลเตอร์และคอยล์เย็นเป็นประจำ

  • ฟิลเตอร์แอร์ควรทำความสะอาดทุก 1-2 เดือน
  • คอยล์เย็นและคอยล์ร้อนควรล้างทุก 6 เดือน เพื่อลดการสะสมของฝุ่นละอองและเชื้อโรค

3. ตรวจสอบสารทำความเย็นและท่อแอร์

การรั่วไหลของสารทำความเย็นอาจทำให้แอร์ทำงานผิดปกติและเกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของพนักงาน ควรตรวจเช็ก แรงดันน้ำยาแอร์ และรอยรั่วของท่อแอร์ ทุกปี

4.เช็กการทำงานของคอมเพรสเซอร์และพัดลมระบายความร้อน

หากพบว่าคอมเพรสเซอร์ทำงานหนักเกินไป หรือพัดลมระบายความร้อนทำงานผิดปกติ อาจส่งผลให้ระบบทำงานผิดพลาด และอาจเกิดไฟไหม้ได้

5. ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับก๊าซและควัน

ควรติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับ ก๊าซรั่วจากสารทำความเย็น และควันไฟ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการรั่วไหลของก๊าซหรือไฟฟ้าลัดวงจร

การเลือกแอร์โรงงานที่มีมาตรฐานรับรอง

การเลือกแอร์โรงงานที่มีมาตรฐานรับรองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าระบบปรับอากาศจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และประหยัดพลังงาน ต่อไปนี้คือปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกแอร์โรงงานที่มีมาตรฐานรับรอง

1. เลือกแอร์ที่ได้รับรองฉลากประหยัดพลังงาน (Energy Label)

แอร์โรงงานที่ได้รับฉลากประหยัดพลังงาน เช่น ฉลากเบอร์ 5 ของประเทศไทย หรือ Energy Star ในระดับสากล ช่วยให้มั่นใจว่าแอร์มีประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า

2. เลือกแอร์ที่ใช้สารทำความเย็นที่ปลอดภัย

  • ควรเลือกแอร์ที่ใช้สารทำความเย็น R-32 หรือ R-410A ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำกว่าสารรุ่นเก่า
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารทำความเย็น R-22 เนื่องจากถูกเลิกใช้ตามมาตรการลดผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ

3. เลือกแอร์ที่มีระบบป้องกันความร้อนสูงเกินไป

บางโรงงานมีอุณหภูมิสูง ควรเลือกแอร์ที่ออกแบบให้รองรับ High Ambient Temperature หรือมี ระบบ Overheat Protection

4. เลือกแอร์ที่มีฟังก์ชัน Smart Control และ IoT

เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) ช่วยให้สามารถควบคุมแอร์ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ และแจ้งเตือนหากมีปัญหาภายในระบบ

5. เลือกแอร์ที่มีการรับประกันและบริการหลังการขาย

ควรเลือกแบรนด์ที่มีการรับประกัน 5-10 ปี และมีศูนย์บริการที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว

การเลือกและบำรุงรักษา แอร์สำหรับโรงงาน ตามมาตรฐานความปลอดภัยไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดค่าใช้จ่ายระยะยาว ควรเลือกแอร์ที่ได้รับมาตรฐานรับรอง, ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและน้ำยาแอร์เป็นประจำ และติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ความปลอดภัย เพื่อให้โรงงานของคุณปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. ASHRAE Standards on Air Conditioning
  2. สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)
  3. Energy Star Certified Air Conditioners

ใส่ความเห็น