You are currently viewing น้ำยาแอร์คืออะไร? สารทำความเย็นแต่ละชนิดต่างกันอย่างไร

น้ำยาแอร์คืออะไร? สารทำความเย็นแต่ละชนิดต่างกันอย่างไร

ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว การมีเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ช่วยให้บ้านและที่ทำงานของเราเย็นสบาย ถ่ายเทความร้อน และทำให้อากาศสดชื่นขึ้น แต่เคยสงสัยกันไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้แอร์ทำงานได้? คำตอบสำคัญอยู่ที่ “น้ำยาแอร์” หรือ “สารทำความเย็น” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเย็น

น้ำยาแอร์คืออะไร?

น้ำยาแอร์ หรือ สารทำความเย็น (Refrigerant) เป็นสารที่ใช้ในระบบเครื่องปรับอากาศ (แอร์) เพื่อช่วยในการทำความเย็น โดยน้ำยาแอร์ทำหน้าที่ในการดูดซับและปล่อยความร้อนภายในเครื่องแอร์ เพื่อให้ภายในห้องมีอุณหภูมิที่เย็นลงตามที่ต้องการ น้ำยาแอร์จะอยู่ในรูปของก๊าซหรือของเหลวภายในวงจรทำความเย็นของแอร์ เมื่อ น้ำยาแอร์ ถูกเปลี่ยนจากสถานะของเหลวไปเป็นก๊าซ (ระเหย) ที่อุณหภูมิสูง น้ำยาแอร์จะดูดซับความร้อนจากอากาศในห้องและส่งออกไปยังคอมเพรสเซอร์ จากนั้นคอมเพรสเซอร์จะบีบอัดน้ำยาแอร์จนมันร้อนและมีความดันสูง ก่อนที่จะถูกปล่อยออกมาในรูปของของเหลวเพื่อทำให้วงจรทำงานได้ต่อไป

น้ำยาแอร์ หรือ Refrigerant คือสารที่ใช้ในระบบทำความเย็น โดยทำหน้าที่

  • ดูดซับความร้อน
  • ระบายความร้อน
  • หมุนเวียนในระบบ
  • ควบคุมอุณหภูมิ

หลักการทำงานของน้ำยาแอร์

  • ดูดซับความร้อนจากห้อง
  • เปลี่ยนสถานะเป็นก๊าซ
  • ระบายความร้อนออก
  • เปลี่ยนกลับเป็นของเหลว

ชนิดของน้ำยาแอร์

สารทำความเย็นที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศมีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป โดยหลัก ๆ จะพิจารณาถึงประสิทธิภาพในการทำความเย็น การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยในการใช้งาน

น้ำยาแอร์ที่นิยมใช้

  1. น้ำยา R32
    • ใช้ในแอร์รุ่นใหม่
    • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
    • ประสิทธิภาพสูง
  2. น้ำยา R410A
    • ทดแทน R22
    • ปลอดภัยกว่า
    • ไม่ทำลายโอโซน
  3. น้ำยา R22
    • แอร์รุ่นเก่า
    • กำลังเลิกใช้
    • ทำลายสิ่งแวดล้อม

เปรียบเทียบประสิทธิภาพน้ำยาแอร์

น้ำยาแอร์ ประสิทธิภาพ ราคา ผลต่อสิ่งแวดล้อม
R32 สูงมาก ปานกลาง ดีมาก
R410A สูง สูง ดี
R22 ปานกลาง ต่ำ ไม่ดี

การเลือกใช้น้ำยาแอร์

น้ำยาแอร์เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ การเลือกน้ำยาแอร์ที่เหมาะสมจะช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของแอร์ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา

ปัจจัยในการเลือกน้ำยาแอร์

  1. ชนิดของแอร์
    • รุ่นใหม่ใช้ R32
    • รุ่นกลางใช้ R410A
    • รุ่นเก่าใช้ R22
  2. งบประมาณ
    • R32: 800-1,000 บาท/กก.
    • R410A: 900-1,200 บาท/กก.
    • R22: 500-700 บาท/กก.
  3. ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม
    • R32 เป็นมิตรที่สุด
    • R410A เป็นมิตรปานกลาง
    • R22 ไม่เป็นมิตร

 

5. ข้อควรระวังการเติมน้ำยาแอร์

น้ำยาแอร์ (Refrigerant) เป็นสารสำคัญที่ใช้ในระบบทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศเพื่อช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเติมน้ำยาแอร์ใหม่เป็นกระบวนการที่สำคัญเมื่อระบบน้ำยามีการรั่วไหลหรือเมื่อน้ำยาแอร์มีปริมาณไม่เพียงพอ การเติมน้ำยาแอร์ที่ถูกต้องจะช่วยให้แอร์ทำงานได้ดีขึ้นและยืดอายุการใช้งาน แต่ก็มีข้อควรระวังที่ผู้ใช้งานหรือช่างแอร์ต้องให้ความสนใจเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

การเติมน้ำยาแอร์

  • ต้องทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ
  • ห้ามผสมน้ำยาต่างชนิด
  • ตรวจสอบการรั่วไหล

ความปลอดภัย

  1. อันตรายจากการรั่วไหล
  2. การระเบิดหากความดันสูง
  3. การบาดเจ็บจากความเย็น

 

น้ำยาแอร์หมดมีอาการยังไง?

หากน้ำยาแอร์หมดหรือมีปริมาณต่ำเกินไป เครื่องปรับอากาศจะไม่สามารถทำความเย็นได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากหลายสัญญาณ ดังนี้

อาการน้ำยาแอร์หมด

  • แอร์ไม่เย็น
  • มีน้ำแข็งเกาะ
  • คอมเพรสเซอร์ทำงานหนัก

เติมน้ำยาแอร์ราคาเท่าไหร่?

ค่าเติมน้ำยาแอร์ 2024

  • R32: 2,500-3,500 บาท
  • R410A: 3,000-4,000 บาท
  • R22: 2,000-3,000 บาท

ควรเติมน้ำยาแอร์บ่อยแค่ไหน?

ปกติไม่ต้องเติม ยกเว้นมีการรั่ว ควรเช็คทุก 6 เดือน

โดยปกติแล้วน้ำยาแอร์ไม่ควรหมดหรือลดลงเองตามธรรมชาติ แต่หากน้ำยาแอร์หมดหรือมีการรั่วไหลในระบบ จะทำให้เครื่องแอร์ไม่สามารถทำความเย็นได้เต็มที่ และอาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องเติมน้ำยาแอร์ใหม่ ในสถานการณ์ปกติ การเติมน้ำยาแอร์ไม่ควรทำบ่อย หากคุณต้องเติมน้ำยาแอร์บ่อย แสดงว่ามีปัญหาภายในเครื่องแอร์ เช่น การรั่วไหลของน้ำยาแอร์

การเลือกใช้น้ำยาแอร์ที่เหมาะสมมีความสำคัญทั้งต่อประสิทธิภาพการทำความเย็นและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน น้ำยา R32 เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับแอร์บ้าน เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อ้างอิง

  1. กรมควบคุมมลพิษ – มาตรการควบคุมสารทำความเย็น
  2. สมาคมวิศวกรรมปรับอากาศแห่งประเทศไทย – มาตรฐานสารทำความเย็น
  3. UNEP – Montreal Protocol on Substances that Deplete the Ozone Layer
  4. กรมโรงงานอุตสาหกรรม – แนวทางการจัดการสารทำความเย็น

ใส่ความเห็น